วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สังขละบุรี ดินแดนแห่งวัฒนธรรม (ตอนที่ 1 กับเส้นทางสายมรณะ)

ในสังคมที่วุ่นวาย ยังมีที่แห่งนึง

ที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกที่รุ่มร้อน ให้สงบได้ด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรม


6.30 น. วันอาทิตย์ สะดุ้งตื่นขึ้นแบบ หายใจไม่ทั่วท้อง...

ตายห่า รถไฟออก 7.45 จะตกรถไฟมั๊ยเนี่ย....

วางแผนไว้นานแล้ว จะไปสังขละบุรีให้ได้ แล้ววันนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดี... (คิดไปเองทั้งนั้น เหอะๆๆๆ)

ด้วยความรวดเร็ว 7 โมงทุกอย่างก็พร้อม...สะพายกระเป๋าเดินปลิวออกจากบ้าน แถมในใจยังคิดนะ

จะนั่งรถเมล์สายอะไรไปดีน้า.. แหมๆๆๆๆ ยังไม่รู้เลยอยู่ตรงไหน ยังจะห้าวคิดนั่งรถเมลชิลๆ

ยังดีที่มีสมอง คิดได้ว่าเวลาจะไม่ทันเอานะ เลยโบกแท็กซี่ “พี่ๆ ไปสถานีรถไฟธนบุรี”

แท็กซี่ “วงเวียนใหญ่เหรอครับ”

ผม “สถานีธนบุรีพี่ แถวศิริราชน่ะ”

แท็กซี่ “อ๋อ สถานีบางกอกน้อย”

ผม “ไม่ใช่พี่ ธนบุรี” (แนะ ยังจะเถียงเขาอีกนะ)

สุดท้ายไปถึง ผมก็ถึงบางอ้อ เพราะป้ายปากทางเข้า เขียนว่า

“สถานีรถไฟบางกอกน้อย” หน้าแหกไปซิ....

ขึ้นรถไฟฟรีก็เหมือนๆกัน ไม่ว่าจะสายไหน ยืนยันตัวตนว่าเป็นคนไทย

มีบัตรก็พอ ไปต้องไปตรวจดีเอ็นเอ

มีป้าคนนึงก่อนหน้าผม แกไม่ได้เอาบัตรประชาชนมา เจ้าหน้าที่ไม่ยอมออกตั๋วให้เลย

กำ ดูยังไงก็คนไทย...... ไม่น่าใจร้ายเลย

ที่นี่ มีทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ มารอรถไฟกันเยอะ ก็เพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวไง

7.45 รถไฟก็เข้าจอดเทียบสถานี และอีก 10 นาทีถัดมา ก็รีบออกทันที

คงเพราะเลยเวลานิดหน่อย แต่เอาน่าหยวนๆ ต้นสายนี่ มาช้ามีสิทธิ์ตกรถนะ !!!!!!!


 


เส้นทางการเดินทาง ของรถไฟสายนี้ ก็มีอะไรให้ดูไปเรื่อยๆ

ใครชอบดูวิถีชีวิตผู้คน รับรองได้เห็นอะไรเยอะแยะ

ผมเหรอ... นั่งหน้าตีลม ชมข้างทางไปเรื่อยเปื่อย

แต่จะมีจุดที่จอดนานๆอยู่ ก็ที่สถานีนครปฐม ตอนแรกก็สงสัยว่าเพราะอะไร

แต่พอนั่งไปซักพักก็พอจะจับได้ว่า มันเป็นช่วงที่จะมีรถไฟสวนกัน

ของเราเหร๊อรถธรรมดาๆชั้น 3 ก็ต้องรอรถเร็วรถแรงไปก่อน ของฟรีทำไงได้

แต่ที่สถานีนครปฐม ผมก็เริ่มมีเพื่อนร่วมทางคนแรก พี่แกขึ้นมานั่งตรงข้ามผม แล้วคุยโทรศัพท์ฉอดๆๆๆๆ

อารมณ์ประมาณคิ้วติดกันเวลาคุย จับใจความได้ว่าพี่เขาคุยกับแฟนเขา จะให้ไปรอที่เมืองกาญ

กรูไม่มีตัง ประมาณนี้

คุยจบพี่แกคงคอแห้ง คว้ากระทิงแดงในกระเป๋าขึ้นมาจิบ....

โอ้โห กลิ่นโชยพริ๊งมาเลย ไม่ต่ำกว่า 40 แน่ ดีกรีพี่ท่านขณะนี้

ซักพักเท่านั้น แกเริ่มเอียง ท่าแรกจากฟรีสไตล์ ไหลมาท่ากบ จบด้วยกรรเชียง เหมายาวไปเลยครับ

เฝ้าพระอินทร์เรียบร้อย



จนมาถึงสถานีกาญจนบุรี ก็ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมาซะที ไอ้เราก็ดันไปได้ยินว่าแกนัดแฟนไว้ที่กาญ

จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ตัดสินใจ

สะกิด...(เงียบ) สะกิด...(เงียบ)

เขย่า...(เงียบ) เขย่า...(เงียบ)

ตบแขน...(เงียบ) ตบอีกที...(เงียบ)

จะง้างมือตบหน้า.... ฉุกคิดขึ้นได้ ตบเขาตื่น เราโดนตีน... งั้น..นิ่งๆไว้ดีกว่า

ดีที่จอดที่สถานีกาญ นาน ทำให้ผมได้ลองอีกที

คราวนี้ทั้งเขย่าทั้งเรียก จนพี่แกลืมตา แล้วก็ลุกขึ้นมานั่ง...

“พี่ๆ ลงกาญหรือเปล่า” คุณพี่ (พยักหน้าหงึกๆ)

5 นาทีผ่านไป แกถึงลุก ตาปรือๆ เหมือนแกกำลังลอยลงจากรถ.....

โชคดีนะพี่ อย่าเมาเตะเมียนะพี่นะ


เมื่อรถไฟได้เวลาขยับล้อเหล็ก ไม่นานก็เคลื่อนขบวนเข้าสู่สถานีสะพานแม่น้ำแคว

และเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์

คนรอขึ้นรถไฟเที่ยว จึงมีจำนวนมากกกกกกก และผมก็ได้เจอเพื่อนร่วมทางคนที่สอง

เป็นน้าผู้หญิง มากับลูกสาว มาถามผมว่า “ตรงนี้มีคนนั่งมั๊ยค่ะ

ผมก็บอกไปว่า “ไม่มีครับ” (พยายามมองหาคราบน้ำลาย)

ไม่อยากจะบอกให้รู้ ว่าก่อนหน้านี้เมื่อสถานีก่อน

เก้าอี้ตัวนี้ถูกครอบครองโดย ผู้ชายมีดี.....กรี

ดูคุณน้าเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก แกคุยกับผมไปเรื่อย 

แกว่าแกคงไม่กล้าไปเที่ยวแบบผมคนเดียว

ผมเลยแบ่งเป็นสองประเภท สำหรับคนที่ยังไม่มีโอกาส แบกเป้ เที่ยวไปแบบ Backpacker คือ

ยังไม่มีโอกาส กับ ยังไม่กล้าเปิดโอกาส..... อยู่ในแบบไหนกันบ้างล่ะ....

 

.... แล้วก็มาถึงแลนด์มาร์กแรก ที่ผมตั้งใจจะมาให้ถึง....

13.20 น. รถไฟคลานเข้าสู่ทางรถไฟสายมรณะ ถ้ำกระแซ และโดยไม่ได้นัดหมาย

หน้าต่างทุกบานฝั่งแม่น้ำแควน้อย เต็มไปด้วยผู้คนและโทรศัพท์มือถือ

และด้วยความสวยงามของวิวจุดนี้ จะเป็นโมเม้นต์ที่จะติดตาติดใจคนที่ได้ไปเห็น...ไปอีกนาน






เป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมง กับการเดินทางบนรถไฟสายนี้ ทำเอาสะโพกแทบเคลื่อน

ในใจภาวนาเมื่อไหร่จะถึงสถานีน้ำตก...ว้า...

และเมื่อเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลา 14.30 น.

ล้อเหล็กนับสิบๆคู่ ที่เราอาศัยให้มันพาเรามายังจุดหมาย ก็หยุดหมุนพร้อมๆกันที่สถานีน้ำตก

“น้ำตกมั๊ยพี่ คนล่ะ 20 บาทเลยครับ”

เสียงจากรถสองแถวเกือบสิบคัน ที่จอดรอนักท่องเที่ยวที่ต้องการอาศัยไปน้ำตกไทรโยค

ผมเดินผ่านคันแรกไปขึ้นคันสุดท้าย

(ก็ไม่รู้ทำไมไม่ขึ้นคันแรก ราคาเท่ากันทุกคัน เดินให้เมื่อยไปงั้น คนเรา)

ผมก็บอกกับคนขับว่าจะไปสังขละ แกก็บอกให้ผมขึ้นเลย 20 บาทเหมือนกัน

อึดใจเดียว สองแถวก็พามาส่งยังน้ำตกไทยโยคน้อย

ผมยังยิ้มในใจ เพิ่งบ่ายสองครึ่ง ไม่เกินห้าโมง คงถึงสังขละ

คนขับสองแถวบอกให้ผม ไปยืนรอรถประจำทางที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม.....

15 นาที.... 30 นาที..... 45 นาที...... 60 นาที....... เฮ้ยยยยย มีรถขึ้นไปสังขละมั๊ยเนี๊ยยยยย

แล้วก็ถึงเวลา ที่ผมได้เจอเพื่อนร่วมทางคนใหม่ เป็นผู้หญิงเกาหลีสองคน มายืนอยู่ข้างหลังผม

เธอเรียกผม “ฮัลโหลๆ แว ยู โก” เมื่อมีสาวมาทัก ไม่คุยด้วยเดี๋ยวจะหาว่าหยิง

ก็เลยคุยกันยาวลืมเรื่องรอรถเลย รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ว่ากันไป....

สรุปได้ว่าเขามาเที่ยวเมืองไทยกันสองคน มาสองอาทิตย์ จะไปเที่ยวโน่นนี่นั่น...บลาๆๆๆ

ผมยอมรับเลยว่า เธอทั้งสอง เก่งมาก ซักวันผมจะไปเยือนเกาหลีบ้างนะ... โห๊ะๆๆๆๆ

15.45 รถโดยสารมาถึง ผมเริ่มยิ้มออก แต่..!!!!!! “ถึงแค่ทองผาภูมิครับ ไปต่อรถเอานะครับ”

โอยยยย กำของกรู สุดท้ายต้องไปนั่งรถตู้ต่ออีก ช่างเป็นการเดินทางที่ทรหดจริงๆ




18.10 น ผมมาถึงสังขละ และสิ่งแรกที่ผมคิดคือ เอ่ออออ จะไปทางไหนต่อเนี่ย....

เดินซิครับ จะยืนทำถ้วยไรล่ะครับ

จำได้ว่าเคยอ่านในพันทิปให้ไปหาวินที่หน้าเซเว่น หันซ้ายแลขวา โน่นๆๆๆ เซเว่น

แต่ด้วยความโชคดีของนักท่องเที่ยวซื่อๆอย่างผม พี่วินขับดิ่งตรงมาทางนี้พอดี

ไม่รอช้า แขนซ้ายกางโบกออกไปในถนนทันที (ผมเดินเลนขวา) ไม่สนอะไรชนแล้ว จะมืดแล้ว

ที่พักแรก ที่นึกออกตอนนั้นคือ พี เกสท์เฮ้าท์ อันลือชื่อในพันทิปที่หลายๆคนแนะนำผมมา

ไม่นานนักพี่วินก็มาส่งผมที่หน้าพี เกสท์เฮ้าท์ ยังครับ ยังไม่จ่ายตัง

“พี่ รอก่อนนะ ถ้าไม่มีห้องจะไปต่อ” (พี่วินพยักหน้าหงึกๆ ไม่พูดอะไร และไม่รู้เต็มใจรึเปล่า)

แต่ไม่ทันที่พี่วินจะพูดอะไรทัน ผมก็สะบัดตูดเดินเข้าไปในรีสอร์ทอย่างรวดเร็ว

ที่เคาน์เตอร์ ทันทีที่ผมถามหาห้องพัก พี่พนักงานก็เปิดสมุดบุ๊กกิ้งเช็คหาห้องว่าง ฟรั๊บๆๆๆๆ

“มีจ๊ะ จะพักกี่คืน”

ผม “คืนเดียวครับ”

พนง “มี มอ ให้เช่าด้วยนะ สนใจบอกนะ”

ผมยืนมองหน้าพี่ พนง อย่างเงียบๆคิ้วฉงนๆ

พนง “มอเตอร์ไซค์”

...^_^’...

300 บาท มัดจำกุญแจ 100 จ่ายเงินเสร็จสรรพ เดินขึ้นห้องสบายใจ ทันใดนั้น......

ชิหาย พี่วินกรู.... รีบวิ่งไปจ่ายตังพี่วินในทันที

และขอบอก พี เกสท์เฮ้าท์ จะเป็นเนิน วิ่งขึ้นนี่ เอาเหนื่อยเหมือนกันนะ




ตั้งแต่เช้าจาก กทม. ได้กินแค่ไข่ต้ม 3 ฟองบนรถไฟ จึงเป็นที่มาของความอ่อนแรง หิวโซ โหยหา

เข้าห้องพักได้ รีบอาบน้ำ (ราคานี้เป็นห้องน้ำรวม)

เพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาก แล้วก็รีบลงไปที่เคาท์เตอร์

พี่มีอะไรกินบ้าง... และด้วยความหิว มาไกลถึงสังขละ สั่งเลย

“กระเพราะไก่ไข่ดาว” (แหม...สงสัยที่บ้านหากินไม่ได้)

แต่หาดูต้มแซบๆอีกซักอย่าง “ต้มยำปลาคัง” (อันนี้ขอบอกอร่อยมากกกกก)

“เอาน้ำอะไรดีครับ”

“ขอเบียร์ครับ”

“เบียร์อะไรดี”

“ลีโอครับ”

“คนไทยแน่นอนลีโอ”...... (หน้าผมไม่ไทยตรงไหนว่ะเนี่ย)

“เอาแก้วมั๊ย”

“เอาครับ”

และก็ได้เรียนรู้ว่า ที่นี่ไม่กินเบียร์ใส่น้ำแข็ง ก็พี่แกไม่ถามเรื่องน้ำแข็งเลย

ที่สำคัญโต๊ะอื่นก็ไม่มีน้ำแข็งแฮะ (สันนิฐานเอาเองนะ)





นั่งกินข้าว จิบเบียร์ ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ซักพัก ก็นึกขึ้นได้

นั่งวินมา ผ่านวัดๆนึง (มารู้ชื่ออีกทีว่า วัดศรีสุวรรณ) กำลังมีงาน

ผมเลยตัดสินใจลุกจากบรรยากาศริมน้ำ ไปสู่บรรยากาศงานวัด

เมื่อเดินไปถึง ถึงเพิ่งรู้ว่าเป็นงานประจำปีของวัด ที่จัดวันนี้เป็นวันแรก

บรรยากาศงานวัดของที่นี่ ก็คล้ายๆงานวัดทั่วๆไป มีของขาย มีหนังกางแปลง

มีบ้านลมให้เด็กๆ และมีของกินมากมาย

และที่เป็นไฮไลต์ของผมเลยก็คือ

ลิเกมอญ หรือ ลิเกกะเหรี่ยง ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน

เพราะถามชาวบ้านคนไทยที่นั่งดูอยู่ เขาบอกเป็นมอญ

แต่ผมยืนดูซักพัก มีตำรวจเดินมาตรวจตรารอบๆงาน ผมเลยเข้าไปถาม พี่แกบอกกะเหรี่ยง....

เอ่อ... เชื่อใครดีหว่า

และอีกอย่างที่ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนใครก็คือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้คนที่นี่ เป็นชาวมอญ

ตัวเลขนี้พี่ตำรวจเป็นคนบอกมาครับ....

เดินกินโน่นนี่นั่นไปเรื่อย จน 3 ทุ่มน่าจะได้ ก็รู้สึกได้ว่า ร่างกายเริ่มเพลี๊ยเพลีย

จึงจำใจเดินทางกลับไปพลีกายที่ห้องพัก

เป็นอันจบทริปในวันแรก แบบสะบักสะบอมเล็กน้อย....







แค่ไม่กี่ชั่วโมงของการมาอยู่ที่นี่....

ก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่า ชีวิตกำลังเดินช้าลง

มันผ่อนคลายแบบบอกไม่ถูก ลองมาดูซักครั้งจะรู้......

สังขละบุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น