วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ร้อย(เรียง)เรื่อง เมืองกาญจน์

เช้าเย็นกลับ กาญจนบุรี จะเที่ยวได้ซะกี่ที่หน๋อ

เป็นคำถามที่คาใจมาหลายวัน

แล้วจะให้มันคาใจไว้ทำไม... ไปเลยซิ



ช่วงที่ผ่านมา งานการค่อนข้างมากกกก สุมๆๆๆๆ เข้ามา

มันเริ่มหนักขึ้นทุกทีๆๆ ไม่ได้การละ ต้องไปปลดปล่อยอารมณ์บ้าง

7 โมงเช้าวันอาทิตย์ จึงเป็นเหตุให้ตัวเองไปยืนหน้าสะลอน อยู่หน้าสถานีรถไฟธนบุรี

ทำไมไม่เป็นที่อื่น นั่นซิเนอะ ทำไมต้องไปกาญ.... 

ไม่รู้ล่ะ เอาความคิดแวบแรกล่ะกัน กาญจนบุรี

เช้าๆที่สถานีรถไฟธนบุรีจะคึกคักมาก 

ก็ที่นี่เขามีตลาดอยู่หน้าสถานีเลย 

ของซื้อของขายนี่ละลานตาไปหมด

ใครจะไปเที่ยวแล้วอยากทำอาหารกินเอง ที่นี่ก็ตัวเลือกสุดเจ๋งเลย

เตรียมกล่องโฟมกันมาให้พร้อม ปลาตัวเบ้อเร้อ ผักเขียวๆ เนื้อสัตว์แดงสด....

ที่โปรดปรานของเหล่าพ่อครัวแม่ครัวตัวเป้งทั้งหลายกันเลยทีเดียว




 


เช้านี้คนเยอะ นักท่องเที่ยวเพียบ อย่างว่า ก็วันอาทิตย์นี่ 

แถมมหาลัยก็ยังไม่เปิดด้วย

วัยรุ่นแบกเป้ ก็เลยมีเยอะแยะเชียวล่ะ

ไปกาญ จะเป็นรถไฟฟรีนะ เอาบัตรปชช ไปโชว์ จนท เขาเลย 

เดี๋ยวเขาก็ปรินซ์ตั๋วให้เราเอง

แต่บอกเขาด้วยนะ ว่าไปน้ำตก 

(แต่จริงๆเราจะลงไหนก็แล้วแต่เราเลย)

เพราะถ้าไม่บอก เขาก็จะไม่รู้ว่าเราจะไปไหน 

ถ้าจะให้เขาอ่านใจเรา ก็คงไม่ใช่และ




 


วันนี้รถไฟออกเรท นิดนึง ก็ประมาณ 15 นาทีได้ 

แต่ก็ไม่เป็นไรพอรับได้

ของฟรีพี่ไม่บ่น.... อิอิ

ขอแนะนำนะครับ นั่งฝั่งซ้ายโลด รีบขึ้นรีบจับจองฝั่งซ้ายเลย

วิวสวยกว่าเหรอ.... เปล่าหรอก มันไม่โดนแดดต่างหาก.....

นั่งรถไฟนะ หน้าน่ะ เอาไว้รับลมก็พอ ไม่ต้องเอาไปห่มแดดหรอก.....

หน้านะ ไม่ใช่ผ้าสี โดนแดดเลียแล้วจะได้ซีด.... ดำนะคร๊าบบบ 

เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน.... เหอะๆ





มาถึงเมืองกาญ เกือบ 11 โมง และผมก็เจอกับสิ่งที่ค้นหามานาน.....

ลายแทง ตารางรถไฟไทย ทั้ง 3 สาย วางอยู่หน้าช่องขายตั๋ว

โห ผมนี่รีบไปเก็บใส่กระเป๋าเลย อยากได้มานาน 

ใครที่ชอบเดินทางด้วยรถไฟ

ผมว่าควรจะมีเก็บไว้ซักชุดนะ รับรองไม่ผิดหวัง






ตั้งแต่เช้า ข้าวปลาอาหาร ไม่มีตกถึงท้อง ณ เวลานั่น โหยเลยล่ะ

กะว่า เจอร้านข้าวจะเข้าไปกิน แบบไม่คิดเลย

หน้าสถานีรถไฟ ผมเจอกับร้านอาหารป่าอยู่ร้านนึง เป็นร้านข้างแกงเล็กๆ

จัดไปชุดใหญ่..... เฮ้ย... แมร่งอร่อยว่ะ (หรือหิววะ) 

รสจัดสมกับเป็นอาหารป่า

ใครโหยๆมาแบบผม แล้วชอบรสจัด ก็ลองไปจัดดูได้นะ

 ข้างๆก็มีร้านอาหารอีสานอยู่อีกร้าน

ชอบแบบไหน ใส่แบบนั้นเลย



จากนั้นก็ถึงเวลา walking day trip

ซอยข้างๆ สุสานทหารสัมพันธมิตร เป็นที่ตั้งของ

พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟ ไทย-พม่า

ก่อนที่เราจะไปเดินดูที่ตัวสุสาน ผมว่า เราควรจะไปทำความรู้จักที่มา 

ของเหตุการณ์ทั้งหมดก่อน

ในพิพิธภัณฑ์ บอกเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควไว้ได้ละเอียดมาก

ตั้งแต่ก่อนสร้าง ที่มาของการก่อสร้าง เหตุการณ์ระหว่างสร้าง จนถึงจุดสิ้นสุด

อยากให้ใช้เวลากับที่นี่ให้มากๆ ไม่ต้องรีบนะครับ



ที่นี่เป็นอาคารเล็กๆ 2 ชั้น แต่ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ 1 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว

ต่างชาติ 140 บาท คนไทย 100 บาทครับ แถมคูปองดื่มกาแฟ 1 แก้ว ที่ชั้น 2

ผมได้รับรู้เรื่องราวต่างๆของคำว่า สงคราม และเชลยศึก มากกว่าที่เคยรู้จัก

แต่ด้วยที่นี่ ห้ามถ่ายรูป..... เลยไม่มีรูปมาให้ดูครับ มาสัมผัสเองนะครับ

แอร์เย็นๆ ห้องจัดแสดงที่ให้อารมณ์ ของค่ายเฉลยศึก..... ได้ความรู้เพิ่มอีกเยอะเลยผม

หลังจากออกจากห้องจัดแสดง ก็จะเจอเคาน์เตอร์กาแฟ เราเอาคูปองไปรับกาแฟได้เลยครับ

แล้วไปนั่งมองสุสานจากชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์..... แล้วนั่งบ่นกับตัวเองว่า...

“นั่นซินะ..... สงคราม”



ออกจากพิพิธภัณฑ์ ก็เดินข้ามไปสุสานทหารสัมพันธมิตรได้เลย 

เพราะมันอยู่ใกล้กันมาก

หน้าทางเข้า มีตู้โทรศัพท์สีสดใสให้ถ่ายรูปเล่นด้วยนะ.... เออเนอะ เข้าใจเอามาตั้ง



สุสานทหารสัมพันธมิตร เป็นสถานที่ฝังศพที่มีศพอยู่จริง 

การเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ ควรให้เกียรติสถานที่ด้วยนะครับ

สำรวมนิดนึง เป็นนักท่องเที่ยวที่น่ารักกันดีกว่า

ด้านหน้า จะมีสมุดเยี่ยมชมอยู่ 

แน่นอน ถ้าใครชอบเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ คงจะรู้จักกันดี

ลงชื่อไว้หน่อยก็ดีนะครับ




ที่นี่ มีหลุมศพกว่า 6 พันหลุม รายละเอียดผมว่า ทุกคนคงหาอ่านได้จากได้อินเตอร์เน็ต

แต่สิ่งนึง ที่ทุกคนคงหาไม่ได้จากในอินเตอร์เน็ต

คือ ความหดหู่ ความรู้สึกสิ้นหวัง ที่ผู้คนเหล่านั้นได้รับเมื่อครั้งเขายังมีชีวิตอยู่

และที่นี่ คุณจะได้สัมผัสถึงมัน ไม่มากก็น้อย



 




ไม่ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่สุสานฝรั่งเท่านั้นนะครับ

ข้างๆกัน ก็มีสุสานของทหารสัมพันธมิตร ที่มีเชื้อชาติอื่นๆ ทั้งสุสานจีน และสุสานไทย

ซึ่งก็เป็นสุสานของทหารที่เสียชีวิตจากค่ายกักกันเฉลยศึกเช่นกัน



ชักจะหดหู่เกินไปและ.... 

ออกจากที่นั่นเดินไปถนนด้านหลังสุสาน

จะมุ่งหน้าไปสู่ ถนนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาวันนี้

ถนนปากแพรก.... ถนนที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายของจังหวัดกาญจนบุรี

ถนนแห่งนี้เป็นถนนสายแรกของเมืองกาญ มีบ้านเก่าๆ และเรื่องเล่าเก่าๆอยู่มากมาย

บ้านของบุคคลสำคัญๆในอดีตหลายๆท่าน ก็อยู่ที่นี่

ที่นี่จะมีป้ายบอกเรื่องราวของบ้านที่สำคัญๆ ในแต่ละหลัง

ต้องให้เวลากับที่นี่หน่อย เดินไปกับเรื่องราวในอดีต 

เพราะที่นี่ เขาเจ๋งจริงๆ








เหนื่อยๆ ก็มีบ้านเก่าที่ปรับเปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ ให้เราได้หย่อนก้นนั่งตากแอร์จิบกาแฟ.... 

ชื่อบ้านสิทธิสังข์

ก็ได้ที่นี่แหละ เติมพลังให้ตัวเอง แล้วก็เติมพลังให้กับมือถือผมด้วย.....

ก็แบตจะหมดอ่ะ แล้วมีปลั๊กไฟอยู่ข้างๆโต๊ะ..... เหล่ซ้ายแลขวา... 

ของชาร์ตแบตหน่อยนะคร๊าบบบบบ

มองหาเจ้าของร้านไม่เจอ ถือวิสาสะเสียบที่ชาร์ตแบตไปแล้ว 

ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ...

โฆษณาร้านตอบแทนล่ะกันนะ 

สิทธิสังข์ กาแฟก็อร่อย แอร์ก็เย็น น้องแมวก็น่ารัก....

ทาสแมว น่าจะชอบ.....





เดินจากบ้านสิทธิสังข์ ไปไม่ไกล 

ก็จะถึงประตูเมืองกาญ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งของที่นี่เลย

ทุกเย็นวันเสาร์ ที่นี่คือถนนคนเดินของเมืองกาญจนบุรี เสียดาย วันนี้วันอาทิตย์.... พลาด

ประตูเมืองและกำแพงเมือง ผมเห็นนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายรูปกันอยู่เรื่อยๆ

ก็นะ มันสวย คลาสสิกดี บ่งบอกความรุ่งเรืองในอดีตได้





 

เดินต่อไปตามถนน จุดหมายถัดไปที่เล็งไว้..... 

พิพิธภัณฑ์สงคราม อักษะ และ เชลยศึก

กับสโลแกนเจ็บๆ... 

ยกโทษให้ แต่ ไม่ลืม FORGIVE BUT NOT FORGET

แหม... เห็นสโลแกนนี้ตอนแรก..... คิดเลย “แมร่งโดนอ่ะ”.... 55555

ค่าเข้าคนไทย 10 นะครับ ต่างชาติ 50




ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างเป็นเพิ่งพักมุงจาก ที่สร้างเลียนแบบ มาจากที่พักของเชลยศึกสมัยสงครามโลก

มีทางเดินเป็นตัวยู และมีรูปถ่ายและรูปวาดวางเรียงราย ให้เราได้เดินดู

ผมว่า มันก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก มีแค่รูปให้ดู เดินแปบเดียวก็ดูหมด

ด้านหลัง มีรูปปั้นของ นายทาเคชิ นากาเซ่ ประธานมูลนิธิสันติภาพแม่น้ำแควอยู่

ตัวพิพิธภัณฑ์อยู่ในพื้นที่ของวัดไชยชุมพล หรือวัดใต้ และแน่นอน นั่นแปลว่า

พิพิธภัณฑ์ถูกจัดตั้งขึ้นโดยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพล คือเจ้าคุณพระเทพปัญญาสุธี






นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ในวัดยังมีสถานที่สำคัญๆอีกหลายจุดเหมือนกัน

ทั้งอุทยานปลา  ทั้งมณฑปต่างๆ รวมทั้งเรือเทวดา

เรือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเมรุ สำหรับตั้งศพของเจ้าอาวาสองค์เก่า

และพอเสร็จสิ้นพิธีศพ เรือเทวดานี้จึงกลายเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกแห่งนึง ของเมืองกาญ



สุดทางท่องเที่ยววันนี้ที่ปักหมุดไว้...

เอาเมื่อยเหมือนกันนะเนี่ย วันนี้เดินได้หลายกิโลอยู่

แต่เฮ้ย... ต้องเดินกลับอีกนี่หว่า... เอา กัดฟันเดินกลับไปประตูเมือง...

ตอนขามา เห็นเขากำลังตั้งร้านอะไรกันไม่รู้อยู่แถวประตูเมือง

ก็หวังว่ากลับไปน่าจะมีอะไรกินบ้าง... ก็หิวอีกแล้วนิ

และเมื่อเดินไปถึง.... ก็ถึงบางอ้อ เขามีงานสิงหาพาแม่เที่ยวกัน





แหม ฟลุ๊กจริงๆ

แถมมีรถรางให้นั่งชมเมืองด้วย

ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว รีบไปลงชื่อขอสัมผัสรถรางรอบเมืองกาญดูซักที

โอกาสแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ อิอิ

และแถมยังได้ จนท จากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา มาเป็นไกด์บรรยายให้ฟังอีก

เป็นประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างผมมากกกก




และนั่งแบบสบายใจได้เลย แม้จะวิ่งกลางเมือง

ก็เขามีรถตำรวจวิ่งนำหน้า คอยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว....

รถรางจะวิ่งผ่านสุสานทหารสัมพันธมิตร พร้อมบรรยายให้ฟัง

ถึงแม้ผมจะอ่านประวัติอย่างละเอียดมาจากพิพิธภัณฑ์แล้ว

แต่ก็ยังชอบนะ ที่มีคนมาเล่าให้ฟังอีกที

รถแล่นมาจอดที่ รถไฟจำลองตรงสะพานข้ามแม่น้ำแคว

เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกับรถไฟ

ที่นี่แลดูเด็กๆจะมีความสุขมาก กับการวิ่งเล่นถ่ายรูป

ซึ่งก็น่ารักดีนะ ผมชอบ เวลาเห็นครอบครัวชาวบ้านมีความสุข มันสดใสดี มันคือชีวิต...





หลังจากแวะให้ 10 นาทีก็.... แก๊งๆ แก๊งๆ ได้เวลาไปต่อแล้ว

รถรางพาเราเข้าไปที่ถนนสายสำคัญอีกเส้นนึง

เรียกว่า ถนนนานาชาติ ก็เพราะถนนเส้นนี้มีถนนย่อยทั้งซ้ายและขวา

ที่มีชื่อของประเทศที่มีส่วนร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นชื่อถนน

ส่วนใครจะหาเช่ามอไซค์ เช่าจักรยาน ก็มาหาเช่าที่ถนนสายนี้ได้เลยนะ



และนักท่องราตรีทั้งหลาย

ถนนเส้นนี้แหละ คือถนนเศรษฐกิจยามค่ำคืน ของเมืองกาญจนบุรีเลยที่เดียว

สารภาพเลย ผมก็เพิ่งรู้จักเอาวันนี้นี่แหละ

ขอปักหมุดทิ้งไว้ก่อน.... และสัญญา จะกลับมา แฮงค์เอาท์ที่นี่ดูซักหน

และถนนเส้นนี้ก็เป็นแหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด

เรียกว่า กรุงเทพมีข้าวสาร เมืองกาญก็มีโค้งประปา

โค้งประปาก็เป็นชื่อเรียกของย่านนี้แหละ

(เนื่องจากอยู่บนรถราง เลยไม่ค่อยได้รูปร้านเจ๋งๆมา เห็นอยู่หลายร้านเลย)





พอหลุดจากโค้งประปา ไกด์ของเรา ก็พาเราไปต่อกันที่

วัดเทวสังฆาราม หรือ วัดเหนือ

วัดนี้เป็นวัดอารามหลวง ในหลวงทรงเคยเสด็จมาทอดกฐิน

และวัดนี้มีประวัติอันยาวนานมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

เป็นวัดที่มีความสำคัญอีกวัดหนึ่ง ใครสนใจลองสืบค้นอ่านดูนะ

ผมหาอ่านดูแล้ว น่าสนใจดีเลยทีเดียว แต่ไม่เล่า หาอ่านเอง

เราแวะไหว้พระกัน 10 นาที ก็ถึงเวลากลับสู่ประตูเมือง

 


หลังจากมาลงรถที่ประตูเมือง ก็ถึงเวลากลับบ้านซะที

ใครนั่งรถไฟมาแบบผม ถ้าไม่กลับรถไฟเที่ยวบ่าย 2 โมง 40 ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้าย

ก็อาจไปวัดดวง รถไฟเที่ยว 17.40 น ซึ่งเป็นรถไฟท่องเที่ยวที่มีเฉพาะ ส อา

และจะเต็มหรือเปล่าก็ไม่รู้

หรือไม่ก็ กลับแบบผม เดินจากประตูเมืองไปถึง 4 แยกไฟแดง ไม่ไกลหรอก

แล้วก็ข้ามถนนไปขึ้นรถของกาญจนบุรีทัวร์ ไปลงปิ่นเกล้าหรือสายใต้ มีตลอดถึง 2 ทุ่ม

ราคา 100 บาท

แค่นี้ One day trip in kanนะจ๊ะบุรี แบบของผม ก็จบลงแบบสมบูรณ์



อย่าลังเล ที่จะออกเดินทาง

อย่ากลัว ที่จะต้องเจอสิ่งใหม่ๆ

แล้วจะรู้ ว่าความสุขมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ไว้ว่างๆ ไปเที่ยวกันอีกนะ

บาย......


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น