ธรรมชาติมักมีอะไรให้เราแปลกใจเสมอ
ยังมีแหล่งธรรมชาติอีกมากมาย ที่เราหลายๆคน ยังไม่เคยได้ไปสัมผัส
ลองออกไปหามันดู และจะแปลกใจ มันสิ่งที่มันสร้างขึ้นมา
เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง......
6 โมงกว่าๆ... กับอุณหภูมิ 20 องศาจากเครื่องปรับอากาศ.... ทำเอาผมต้องนอนขดอยู่ในผ้าห่ม
หลังจากรู้สึกตัว ก็มีแค่มือข้างนึงที่ออกไปควานหารีโมทแอร์ นอกพื้นที่ความอบอุ่นใต้ผ้าห่ม
ไม่รู้เปิดไปได้ไง 20 องศา หนาวมากกกก
แถมเมื่อคืนยังมีฝนกระหน่ำลงมาอีก เช้านี้เลยหนาวเป็นพิเศษ
หลังจากลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่า ผมก็เดินปล่อยอารมณ์ ไปหาอะไรกินที่ห้องอาหาร
และมื้อเช้าวันนี้ ทางรีสอร์ทเปลี่ยนเมนูจากเมื่อวาน คงจะเพื่อไม่ให้เกิดความจำเจกับลูกค้า
เมื่อผมชงกาแฟ กับปิ้งขนมปังมานั่งชมวิวอยู่โซนด้านนอกห้องอาหาร
แม่บ้านก็เดินถือชามข้าวต้ม มือเช้าสำหรับวันนี้มาให้.......
ผมชอบบรรยากาศการกินอาหารเช้าที่นี่นะครับ กินไปมองทะเลไป โอ้โห....มันยอดมาก....
ผมว่า เช้าๆที่หาดยาวนี่ อากาศ และบรรยากาศที่นี่ ดีมากๆเลยนะครับ
ท้องฟ้าจะสวย อากาศจะไม่ร้อน เพราะพระอาทิตย์จะขึ้นอีกฝั่ง เหมาะมาเล่นน้ำยามเช้าๆเชียวล่ะ
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็ใช้เวลาที่เหลือ ก่อนเวลานัดหมายกับไกด์ท้องถิ่นที่จะพาผมไปเที่ยว
ไปเดินเล่นที่หาดยาว เพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศของเช้าสุดท้าย ก่อนที่จะกลับกรุงเทพ
ผมนัดกับทางเรือไว้ 9 โมง ทันทีที่ใกล้เวลาผมก็รีบขับมอไซค์คู่ชีพ ตรงดิ่งไปที่หมู่บ้านหาดยาวทันที
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ คนชุมชนมีอาชีพประมง และขับเรือ ซะเป็นส่วนใหญ่
แต่เท่าที่ผมเห็น มีเลี้ยงแพะด้วยนะ น่าจะเอาไปผลิตน้ำนมแพะ ผมก็เดาๆเอาน่ะครับ
พี่เจ้าของเรือรอผมอยู่ที่บ้านแล้ว เมื่อผมไปถึง เขาจึงพาผมไปที่ท่าเรือและไปตามน้องอีกคนนึง
ซึ่งน้องคนนี้จะเป็นไกด์ให้ผมตลอดทริปนี้
เมื่อทุกอย่างพร้อม น้องไกด์ท้องถิ่น ซึ่งผมถามชื่อได้ความว่า ชื่อแอม.........
ก็เรียกผมขึ้นเรือ เรือที่จะพาผมไปลุยทริปนี้ จะเป็นเรือแคนนู
ซึ่งพื้นที่ของเรือก็จะนั่งได้ประมาณ 3 คน
แต่จากหมู่บ้าน ก็จะต้องใช้เรือยนต์ลำใหญ่ เพื่อที่จะพาเราไปสู่ปากทางเข้า ถึงจะพายต่อเข้าไป
เพราะดูแล้ว ถ้าให้พายจากหมู่บ้านไปถึงที่เลยนี่ก็ มีกล้ามขึ้นอ่ะ
ระหว่างทาง ซ้ายขวา บอกเลยว่า เหมือนเราออกมาอยู่อีกโลกนึง
ชีวิตที่วุ่นวาย พลิกขั่ว กลายเป็นสงบเงียบ ขึ้นมาทันที
ซ้ายขวามีแต่ ต้นไม้ ผืนน้ำ ก้อนเมฆ ภูเขา เสียงแมลง เสียงน้ำไหล
และความรู้สึกที่อิ่มเอมไปกับธรรมชาติ
หลังจากที่นั่งชมวิวไปได้ซักพัก เรือยนต์ก็พาเรามาสู่ปากทาง
ที่จะต้องใช้ความสามารถจากไกด์ของเรา เป็นคนพายเรือแคนูพาเราเข้าไป
วันนี้น้องแอมไกด์ของเราบอกว่า น้ำขึ้นสูงมากเลยพี่ น้ำแรงด้วย
อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก
อันนี้ผมเห็นด้วยทันที ด้วยเพราะกระแสน้ำที่ผมดูแล้ว ไหลแรงเอาเรื่องทีเดียว
แต่การพายเรือเข้าไป จะเป็นการพายไปตามกระแสน้ำ จึงไม่น่าเหนื่อยเท่าไหร่
แต่ผมไปคิดถึงขาออกซะก่อนแล้วนี่ไง เสียวขึ้นมาทันที
คลองหลักสายนี้ชื่อคลองเจ้าไหม และจะมีซอยแยกไปซ้ายขวา ตลอดแนวคลอง
ทางที่ผมเข้ามาก็เป็นซอยๆนึงของคลองเจ้าไหม และจุดหมายของเราตอนนี้ก็คือ ถ้ำเจ้าไหม
ซึ่งเป็นถ้ำที่เรือจะสามารถลอดผ่านเข้าไปได้ใต้ภูเขาลูกนึง และจะไปโผล่ด้านใน
แต่........ วันนี้น้ำขึ้นสูงครับ ผมเลยไปถึงแค่ปากถ้ำ
และไม่สามารถลอดเข้าไปได้ จึงต้องพายออกมา
แต่ระหว่างทาง น้องแอมก็เล่าบรรยายประวัติต่างๆให้ผมฟังจนเพลิน
ลืมความกังวลเรื่องการพายทวนน้ำเชี่ยวๆออกมาเลย
ใช้เวลาพักใหญ่ๆ เราก็กลับออกมาสู่ปากทางเข้า ซึ่งเรือยนต์จะจอดรอเราอยู่
เมื่อทางคนขับเรือรู้แล้วว่า ไม่สามารถเข้าถ้ำเจ้าไหมได้ เลยสตาร์ทเครื่องเพื่อไปถ้ำที่สอง ที่เราจะไปกัน
น้องแอมไกด์หนุ่มของเราเล่าว่า คลองแห่งนี้แหละ เป็นแหล่งอาหารของคนที่นี่เลย
ไม่ต้องไปไหนก็ไม่อดตาย
ธรรมชาติของที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก และมีคุณกับพวกเขามาก
สมัยสึนามิมาเมื่อครั้งนั้น ก็ได้คลองเจ้าไหมนี่แหละ เป็นที่หลบภัย และนำเรือต่างๆน้อยใหญ่มาหลบที่นี่
การท่องเที่ยวที่นี่ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก เพราะคนที่รู้จักมีไม่มากเท่าไหร่
ความเป็นธรรมชาติเลยยังสมบูรณ์อยู่มาก
ใช้เวลาไม่นานนัก เรือยนต์ก็พาเรามาถึงปากทางเข้าถ้ำที่สองของเรา
ถ้ำนี้มีชื่อว่า ถ้ำเจ้าคุณ
ระหว่างทางที่ต้องพายเรือแคนนูเข้าไป บรรยากาศจะร่มรืน เงียบเชียบ มีแต่ป่าโกงกางอยู่ซ้ายขวา
ความสุขและความตื่นเต้นมันผสมกันอยู่ตลอดเวลา จนทำให้หัวใจผม เต้นแรงมาก จริงๆนะ
ผมชอบการเดินทางคนเดียวก็เพราะแบบนี้แหละ
มันจะตื่นเต้นกับการผจญภัยมากกว่าปกติ ไม่เหมือนมากันเป็นกลุ่ม
และซักพักนึงเราก็จะมากันถึงปากถ้ำ
ทันทีที่ถึงถ้ำ ไกด์หนุ่มก็ให้ผมถอดชูชีพ แล้วรอเขาผูกเรือแปบนึง
ในใจก็ยังคิดนะ ถ้ากลับออกมาแล้วเรือหายจะกลับไงว่ะเนี่ย.... 5555
ถ้ำเจ้าคุณมีประวัติต่างๆมากมาย ทั้งโต๊ะแนะ และลูกสาว
เรื่องราวของคนเร่ขายของที่มาหลบฝนแล้วได้รับอาหารจากโต๊ะแนะ และอื่นๆอีกหลายเรื่อง
และเรื่องราวเหล่านี้คุณจะได้จากไกด์ท้องถิ่นเท่านั้น
ถ้ามากับไกด์ในเมือง ผมมั่นใจเลย ว่าคุณจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้แน่นอน
ผมคงจะไม่เล่าให้ฟัง (คือจำได้ไม่หมด) ไปลองฟังเรื่องราวจากเขาด้วยตัวคุณเองดีกว่านะครับ
และหลังจากฟังเรื่องราวของโต๊ะแนะ ไกด์ของเราก็พาเราเข้าสู้ถ้ำเจ้าคุณ
การเดินเข้าถ้ำเจ้าคุณ ค่อนข้างบุกตะลุยน่าดู ต้องทั้งปีนขึ้นปีนลง
ต้องเกาะหินและกระดึบๆแนบกับตัวหิน
ได้ปีนบันได้อายุกว่า 30 ปี ซึ่งยังคงแข็งแรง....
มันเป็นอีกหนึ่งการผจญภัย ที่ผมคิดว่า มันคุ้มค่ามาก ที่ได้มีโอกาสมาสัมผัส
ด้านในตัวถ้ำก็จะมีหินงอกหินย้อยอยู่มากมาย
มีแร่ต่างๆตามทางเดิน ระยิบระยับ สวยงามมากๆ และมีจุดให้เราไปยืนถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด
ผมก็ไม่รู้จะบรรยายถึงความงามในถ้ำยังไง ไปดูรูปล่ะกันเนอะ
แต่อย่างที่คงจะรู้กัน เวลาเราถ่ายรูปหินงอกหินย้อย
ไอ้แสงระยิบระยับ มันมักจะถ่ายไม่ค่อยจะติด... เซ็งจิต
ผมก็ไม่ต่างกันครับ ของจริงกะในรูป ขอบอกเลย ของจริงสวยกว่ามากกกกกกก
เดินกันให้เต็มอิ่มกันไปเลย กับถ้ำเจ้าคุณ
แบบว่าตอนแรกๆรู้สึกเหนื่อยมาก แต่เดินซักพักกลับหายเหนื่อยไปเลย
(เพลินจะหายเหนื่อยว่างั้น)
เมื่อเดินจนทั่วผมก็ออกกันมาจากถ้ำ บรรยากาศภายในถ้ำเจ้าคุณ
มันเหมือนว่าเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
มีครบครัน ทั้งถ้ำ ป่าไม้ น้ำทะเล.....
ตอนปีนป่ายกลับไปเรือนี่ก็ เอาเรื่องเหมือนกันนะครับ ก็ไอ้ตรงบันได 30 ปีที่ว่า มันสูงใช่เล่นซะที่ไหน
มีขาสั่นเหมือนกันนิ เหอะๆๆๆๆ
เมื่อเราเดินกันออกมาถึงเรือ ไกด์ของเราก็ชี้ดู
ถ้ำที่เป็นถ้ำเรื่องเล่าของโต๊ะแนะ ที่เล่าให้ผมฟังตอนแรกมาถึง
แกบอกข้างในจะมีค้างคาวอยู่เป็นจำนวนมาก แกถามผมว่าจะเข้าไปดูมั๊ย ผมก็มีรึจะพลาด เอาซิไปดูกัน
แต่ก็เข้าไปดูได้แค่ปากถ้ำ เพราะฝูงค้างคาวเยอะมากๆ
ข้างในจะมีแต่ขี้ค้างคาว และมีสัตว์มีพิษอยู่ด้านในด้วย
ไกด์เล่าให้ฟังว่า เขาเองยังเคยเข้าไปได้แค่กลางถ้ำ
เพราะมีขี้ค้างคาว และก็มีงู เลยไม่แนะนำให้เข้าไปครับ
หลังจากนั้นเราก็กลับกัน ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด ประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ
ผมรีบเดินทางกลับที่พัก เนื่องจากฝนเริ่มจะมาอีกแล้ว ผมต้องรีบเก็บของกลับ
ขอบคุณน้องแอมอีกที สำหรับการเป็นไกด์ส่วนตัวในวันนี้
เกือบบ่ายโมง ผมรีบขี่รถกลับไปทางเดิมที่มาเมื่อวันแรก ผมรีบจนลืมไปเลยว่า..... น้ำมันจะหมด
คุณเอ๊ยยยย แถวนั้นคงไม่มีปั้มน้ำมันให้เราแวะเป็นแน่ แลซ้ายแลขวาไปเรื่อย ก็ไปเจอตู้เติมน้ำมัน......
ดีใจมากๆ ก็น้ำมันตกเกแล้วอ่ะ ขามาผมเติมเต็มถัง 50 บาทครับ ถูกดีเนอะ....
หรือเพราะผมไม่มีมอไซค์หว่า
เลยไม่รู้ว่าเติมแค่ไหนถูกหรือแพง ตู้นี้ผมเติม 20 บาทครับ กะแค่ถึงเมืองตรังเท่านั้น..... เหอะๆๆๆ
แต่งมอยู่พักนึง เติมไม่เป็น 555555 ก็ได้น้องแถวนั้นเดินมาช่วยเติมให้...... อ๊ายอาย
ขับไปตามทางซักพัก ก็ถึงจุดหมายที่ผมจะแวะอีกที่นึง
วนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง....... เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 70 องศา
แถมมีป้ายบอกห้ามแช่เท้าลงในบ่อน้ำร้อนด้วยอ่ะ.....
ผมว่า แค่ยืนใกล้ๆยังรู้สึกร้อนอุบเลย เอาเท้าแช่คงสุกพอดี
ในวนอุทยานแห่งนี้ มีบ่อน้ำร้อน 3 บ่อ อุณหภูมิไม่เท่ากัน
มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งผมเดินดูแล้วรู้สึกว่า ไม่มีอะไรให้ศึกษาเลยอ่ะ
และก็มีบริการให้นวดเท้าด้วยนะครับ ใครเมื่อยๆก็ไปแช่น้ำแร่กันได้ครับผม
ส่วนราคาผมไม่ได้ถามมาให้นะ....
วันนี้ที่ผมไป เป็นวันอังคาร คนเลยน้อย..... ไม่ซิ ไม่มีคนเลยดีกว่า
เอาซะผมคิดว่า เขาปิดไปแล้วหรือเปล่าหว่า
ไปถามน้องที่ขายน้ำเขาบอกว่า วันธรรมดาไม่ค่อยมีคนหรอกค่ะ
วันหยุดถึงจะมีมาเรื่อยๆ
อ๋อ..... อย่างนี้นี่เอง
หลังจากเดินได้เหงื่อสักพัก ก็ถึงเวลาต้องไปต่อแล้ว
ก่อนกลับผมตั้งใจไว้จะไปกินกาแฟที่กันตังอีกซักรอบ แล้วว่าจะไปถ่ายรูปเล่นก่อนกลับด้วย
ก็อีตอนขามา คนเยอะและฝนก็ตกด้วย เลยกะว่า เอาว่ะ แวะขากลับอีกรอบล่ะกัน
แล้วก็ด้วยความที่กลับทางเดิม เลยชะล่าใจ ขับไปเรื่อยเปื่อย......
สุดท้าย...หาโป๊ะขึ้นเรือไปกันตังไม่เจอครับ
หลงซิครับ... ลำบากเปิดแมพอีกที
พอดูเท่านั้นแหละ โห...... เลยมาไกล แต่ดีที่ยังมีเส้นที่จะวนไปได้
สุดท้ายก็ไปถึงร้านกาแฟสถานีรักที่กันตังแบบ งงๆ.......
และวันนี้ คงไม่ใช่วันของผมซะแล้ว เมฆฝนดำทะมึนลอยมาอย่างเร็วมาก
ผมแทบไม่ต้องคิดเลย รีบสตาร์ทรถ บิดไปให้ถึงตัวเมืองตรังให้เร็วที่สุด แต่........
สุดท้ายผมก็ไม่ทันฝน... ตกกระหน่ำอย่างแรงมากกกกก ดีที่ว่าถุงที่ผมได้มาวันแรก กับเสื้อกันฝนยังอยู่
ผมรีบขับมอไซค์ไปหลบเพิ่งร้าง ที่อยู่ข้างถนน
แล้วรีบใส่เสื้อกันฝน พร้อมเอามือถือและกระเป๋าใส่ถุงทันที
ผมรอให้ฝนเบาลงก่อนค่อยไป แต่แล้วมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย สำนึกตอนนั้นเลยว่า...
เอาว่ะ ฝ่าไปเลยล่ะกัน.....
ว่าแล้วก็ถอดรองเท้าผ้าใบยัดใส่ถุง แล้วโดดขี่มอไซค์เท้าเปล่าฝ่าฝนเข้าตัวเมือง
ชั่วโมงนั้นแมพก็เปิดไม่ได้ ก็ได้แต่ขับไปตามป้าย คิดดูขับรถหลงอยู่กลางสายฝน ในถิ่นที่เราไม่รู้จัก
โหทรมานสุดๆ แล้วก็หลุดเข้าตัวเมืองเจอรางรถไฟ
ผมงี้แทบจะตะโกนร้องดีใจเลย และก็ขับตามไปจนเจอสถานีรถไฟ
แหมมมมม..... มันมันส์ดีใช่ย่อยเลยเชียว
ฝนหยุดตกตรงเวลามาก 4 โมงเย็น พอดีเวลาที่นัดไว้ที่จะเอารถไปคืนเลย
จากสถานีรถไฟไปที่ร้านเช่ามอไซค์ ก็แค่ข้ามฝั่งถนนก็ถึงครับ
ผมถือโอกาสถามแกว่า ผมจะไปสนามบินไปยังไงได้บ้างครับ
พี่เจ้าของก็ให้ช๊อยผมมา ถ้ารอรถตู้ก็จะนานหน่อย 90 บาท เวลาไม่แน่นอน
มอไซค์ก็ 100 บาทข้ามถนนไปขึ้นได้เลย
หรือ 3 ล้อ 200 บาท หน้าสถานีรถไฟ......
อ๋อ... เมื่อกระจ่างผมก็เลยขอตัว แต่ยังไม่กลับ ก็เพราะพอดีเหลือบไปเห็นห้องข้างๆ
ร้านเช่ามอไซค์จะอยู่ติดกับโรงแรมศรีตรังครับ ผมเลยแวบเข้าไปดูในโรงแรมศรีตรัง
มีพนักงานมาต้อนรับอย่างดีเลย ผมก็เลยออกตัวล้อฟรีก่อนเลยว่า
ผมกำลังจะกลับกรุงเทพแล้ว มาดูเฉยๆครับ
พนักงานก็น่ารักมากเลย บอกผมว่าไม่เป็นไร พร้อมพาผมเดินดูห้องเสร็จสรรพ บอกราคาแต่ล่ะห้องพร้อม
โรงแรมศรีตรังนี้เปิดมา 60 กว่าปีแล้วตามที่พนักงานเล่าให้ฟังน่ะครับ
ห้องพักอยู่ที่ 640 -950 บาท ประมาณนี้ถ้าจำไม่ผิด
แต่ล่ะห้องก็แตกต่างกันไป อยู่ใกล้ถนนคนเดินเมืองตรังครับ
(แต่ถนนคนเดินมีเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์นะครับ)
มีร้านอาหารมุมกาแฟอยู่อีกด้านของโรงแรม เรียกว่าด้านนี้เดินออกถนนคนเดินได้เลย
นี่แหละ คราวหน้าผมต้องมาพักที่นี่ให้ได้..... พนักงานน่ารักเป็นกันเองครับ ชอบๆ
หลังจากนั้นเขาก็ให้นามบัตรผมมา 1 ใบ แล้วก็โบกมือลาให้กันและกัน เหอะๆๆๆ
ผมเดินไปเรื่อย เพื่อที่จะหาของกิน เพราะหลังจากข้าวต้มมื้อเช้า ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องอีก
ตามรายทางก็มีโรงแรมที่พักสไตล์ย้อนยุคอยู่หลายแห่ง
ผมเห็นแล้วก็ชอบนะ เมืองนี้เขาอนุรักษ์ของเก่าดีอ่ะ
ผมมาสะดุดร้านเย็นตาโฟ ตรงหอนาฬิการ้านนึง ชื่อร้านเย็นตาโฟโกยวด
(ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะหิวจัดอ่ะ)
ผมปรี่เข้าไปสั่งเย็นตาโฟชามนึง เขาก็ถามพิเศษมั๊ย อารมณ์นั้นเนอะ ผมสวนเลย จัดมาเลยพี่...
แล้วเมื่อมาเสิร์ฟ ผมแทบจะร้องเลย
โห...เยอะมากกกกก ขนาดหิวๆยังว่า กรูจะหมดมั๊ยเนี่ย
ถามว่าอร่อยมั๊ย ก็อร่อยดีนะครับ
เย็นตาโฟชามนี้มีทั้งหมึก กุ้ง หมู ปลากรอบ เยอะแยะไปหมด... เอาว่าแทบไม่หมด
ร้านนี้อยู่ข้างโรงแรมตรัง ตรงวงเวียนหอนาฬิกานะครับ ลองแวะมาชิมกันดูนะ
อิ่มสุดๆ อิ่มแบบแน่นเลยครับ ไม่ไหวแล้ว ไม่เดินต่อแล้ว..... ผมถามหาวินทันที
ทางร้านเย็นตาโฟบอกให้เดินไปหน้าโรงแรมตรังเลยค่ะ มีวินอยู่
ผมงี้ตั้งหน้าตั้งตาเดินเลย จนไปเจอพี่วินกลุ่มนึง ผมบอกไปว่าไปสนามบินครับ....
พี่คนขับทำหน้าตาเลิ๊กลั๊ก แล้วหันไปถามเพื่อน เฮ้ย.... แล้วไปสนามบินเขาคิดกันเท่าไหร่ว่ะ
แล้วผมก็ได้ยินเพื่อนๆในวินเขาบอกมาว่า แล้วแต่เลย ตามใจ...... อ้าว....ไม่มีเรตเหรอเนี่ย
พอไปถึงสนามบิน ผมก็รอฟังว่าจะคิดเท่าไหร่...... แล้วราคาที่บอกผมมาก็คืน 120 ครับ
โอเค พอรับได้ นั่งหน้าสถานีรถไฟไกลกว่า 100 บาท มานั่งแถววงเวียนใกล้กว่า 120 บาท
ไม่เป็นไรไม่แพงเกินไปนัก
ก่อนขึ้นเครื่องนึกขึ้นได้อีก ตามล่ะ ลืมซื้อของฝาก หันซ้ายแลขวา ในสนามบินมีอยู่ 2-3 ร้าน
เลยได้เค้กกับขนมเปี๊ยกลับไปฝากทางบ้าน
(หลังจากได้กลับมาชิมที่บ้านขอบอก ขนมเปี๊ย อร่อยมากกกกก)
ทริปนี้ผมก็บินกลับด้วยเครื่องหางแดงเหมือนเดิม และก็กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
ขอบคุณ...ที่ทำให้เกิดทริปนี้
ขอบคุณ...ที่ทำให้ได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ
หวังว่าซักวันเราคงมีโอกาสได้เจอกันใหม่
ขอบคุณ…….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น