วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สังขละบุรี ดินแดนแห่งวัฒนธรรม (ตอนที่ 2 วัฒนธรรม ความศรัทธา และธรรมชาติ)

ชีวิตเริ่มเดินช้าลง

ทันทีที่ตื่นลืมตา ที่ สังขละบุรี


วันนี้มียาวววววว

ตีห้าครึ่ง รู้สึกตัวถึงความหนาวเย็น แม้จะเป็นห้องพัดลม แต่ก็เย็นได้อารมณ์เหมือนกันนะ

รีบลุกไปล้างหน้า คว้ากล้องกระเป๋าตัง และรวบรวมสติ เดินไปสะพานมอญ

(เมื่อคืนพี่ที่รีสอร์ททักแล้วนะ ว่าเช่ามอไซค์มั๊ย แต่มั่นใจว่าเดินไหว.... ว่างั้น)

ใช้เวลา 20 นาที เดินไปถึงสะพาน เป็นช่วงเวลาที่พระมายืนรอบิณฑบาตพอดี

และด้วยวันนี้เป็นวันเกิดผมพอดี เลยไม่รีรอที่จะซื้อของใส่บาตร

พระฝั่งนี้ (ก่อนข้ามสะพาน) จะเป็นพระวัดศรีสุวรรณ ที่มารอบิณฑบาต

แต่สังเกตว่าคนมาใส่บาตรไม่เยอะมากนัก แต่อย่างน้อยก็มีผมคนล่ะ





ใส่บาตรเสร็จ ก็ได้เวลาไปเหยียบสะพานไม้ที่ยาวที่สุดกันแล้ว

ก้าวแรกที่เหยียบย่างไปบนสะพาน ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า

“ลื่นว่ะ”..... ก็เช้าๆหมอกเอย น้ำค้างเอย ทำให้สะพานมอญเปียกโชนไปด้วยน้ำ

ก้าวย่างไปอย่างระมัดระวัง ผู้คนเริ่มทยอยข้ามไปฝั่งมอญกัน

เพราะใกล้ที่จะได้เวลาที่พระทางฝั่งมอญ จะเริ่มออกมาบิณฑบาต

ที่ฝั่งมอญจะครึกครื้นกว่าฝั่งไทย เพราะทั้งบรรยากาศ วิถีชีวิตของผู้คนในยามเช้า

ทำให้รู้สึกว่า ที่นี่มีเสน่ห์มาก






สิ่งนึงที่เห็นได้ชัด ระหว่างคนไทยกับคนมอญ ก่อนทำการใส่บาตรในตอนเช้าคือ

คนไทยจะยืนเรียงรายรอใส่บาตรพระกันเป็นปกติ

แต่ถ้าเป็นคนมอญ ก่อนที่พระจะเดินมาถึง เขาจะนั่งลงและกราบลงกับพื้น

และเมื่อใส่บาตรเสร็จ เมื่อพระท่านเดินจากไป เขาก็จะนั่งลงกราบอีกครั้งนึง

เป็นภาพที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความศรัทธา ของผู้คนที่นี่ ที่มีต่อพระพุทธศาสนา

เป็นสิ่งที่ผมยอมรับว่า ผมนึกภาพไม่ออก ว่าผมจะก้มลงกราบบนพื้นถนนแบบนี้ยังไง

แต่ผมก็ไม่พลาดนะครับ ที่จะใส่บาตรฝั่งนี้ วัดเกิดทั้งที ต้องใส่บาตรทั้งสองฝั่งซิ

และผมโชคดีที่วันนี้พระมหาสุชาติ (เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ปัจจุบัน)

เดินบิณฑบาตผ่านมาทางนี้ ผมจึงได้มีโอกาสได้ใส่บาตรท่าน

สาธุ สาธุ สาธุ






หิวซิ หิวซิ..... หิวแล้วทำไง.... กินซิ กินซิ

อาหารเช้ายอดนิยมของหลายๆคน ผมก็เช่นกัน “โจ๊กใส่ไข่ชามครับ”

ผมต้องเพิ่มพลังให้ตัวเองซะก่อน เพราะรู้ว่า วันนี้ยาวแน่ๆๆๆๆ

จะว่าไป วิถีชีวิตคนฝั่งนี้ก็เรียบง่าย ไม่วุ่นวายมาก บ้านไม่ไผ่สานแบบดั้งเดิม ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

ผมได้พูดคุยกับคนที่นั่นอยู่บ้าง เกี่ยวกับพื้นที่ ที่คนมอญมาอาศัยอยู่ การแบ่งที่ดินในครั้งที่เข้ามาอยู่

ทำให้รู้ว่า พื้นที่บ้านผู้คนในหมู่บ้าน มีพื้นที่เท่ากัน เป็นสี่เหลี่ยม การแบ่งสันปันส่วนที่ดิน

ในเริ่มแรก ก็ให้ หลวงพ่ออุตตะมะ เป็นผู้จัดให้ วิธีที่ใช้ก็คือ

จับฉลากครับ เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ

หลวงพ่อจับให้ได้ตรงไหนก็ถือว่า นั่นแหละที่ของเรา

ส่วนปัจจุบัน ก็อาจมีการขาย แต่ขายให้คนในหมู่บ้านนะครับ

ลูกหลานได้มรดกจะไปอยู่ที่อื่นก็ขายให้เพื่อนบ้านได้






ในเมื่อไม่ยอมเช่ามอ ก็เดินซิครับ เดินไป เดินไป เดินไป อารมณ์ชิลๆ

จุดหมายผมน่ะเหรอ..... เจดีย์พุทธคยา ใครที่เคยไปสังขละบุรี จะรู้ครับ ว่า....มันไม่ใกล้เลย

2 กิโลครับ กว่าๆด้วย จากสะพานไม้ไปเจดีย์ แต่ด้วยความมานะอุตสาหะ

(จริงๆแล้ว ห้าวอ่ะ อยากชิล)

เดินไปครับ ดีที่ว่าอากาศไม่ร้อน แต่กว่าจะไปถึงยอมรับเลยว่า เอาเมื่อยอ่ะ

แต่ถ้าใครเคยลองเดิน ซึ่งผมว่าคงมีน้อย หรือน้อยมากๆๆๆ เมื่อจะถึงตัวเจดีย์ จะมีน้องหมาตัวนึง

วิ่งเข้ามาหา ตั้งแต่ก่อนร้านขายของร้านแรก มันจะเดินไปกับเราจนถึงตัวเจดีย์เลยนะ

และเหมือนมันจะอ่านภาษาไทยออก “ห้ามนำสุนัขเข้า”

ป้ายติดอยู่ก่อนขึ้นบันได มันจะหยุดให้เราขึ้นไปเองทันที

เนื่องจากช่วงนี้เจดีย์อยู่ในช่วงบูรณะ ตัวเจดีย์เลยมีแต่ไม่ไผ่

แหม....อดได้ภาพบังคับหน้าตรงเลย...ฮ่าๆๆๆๆ

แถวๆเจดีย์มีหอระฆังอยู่ด้วย ใครชอบถ่ายรูปมุมสูง ลองขึ้นไปดูนะครับ ผมจัดไปเรียบร้อย

วิวแม่น้ำและขุนเขา....



 

 


ยัง ยังไม่พอ ลากเท้าเดินลุยต่อ มาถึงเจดีย์ ไม่มาถึงวัดได้ไง....

ว่าแล้วก็ย่างก้าว เฉิบๆไปยัง วัดวังก์วิเวการาม... ขึ้นเนินอีกแล้วแม่จ้าว.....

เป็นช่วงเวลาเช้าตรู จึงเป็นช่วงที่ยังไม่ค่อยมีคนมากนัก

ผมเลยได้เป็นคนแรกๆของวันที่ได้เขาไปในศาลา

ในศาลามีร่างของหลวงพ่ออุตตมะไว้ให้ ชาวบ้านทั้งไทย มอญ กระเหรี่ยง

ซึ่งนับถือหลวงพ่อเสมือนพ่อแท้ๆ ให้มากราบไหว้

รวมทั้งนักท่องเที่ยวผู้เลื่อมใสศรัทธา

และทุกคนที่มากราบไหว้ ด้านข้างจะมีหลวงพี่บริกรรมคาถา ลูกประคำไม้

เพื่อแจกจ่ายให้กับทุกคนที่มากราบไหว้หลวงพ่อ

ซึ่งผมเหรอ ไม่มีพลาดแน่นอน แถมได้ชุดแรกที่หลวงพี่ท่านเป่าคาถาด้วย....อิอิ

เนื่องจากเป็นวัดมอญจึงทำให้มีศิลปะแบบมอญอยู่ทั่วไป ถ้าไม่รีบร้อนอะไร ก็ต้องเดินให้ทั่วๆนะครับ

แต่ในขณะนั้น ยอมสารภาพโดยดี ว่าแรงขาเริ่มหมด (เพราะความอวดดีแท้ๆ)

อาจไม่ได้เดินทั่วนัก แต่ก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปชม พระพุทธรูปหินอ่อน กับงาช้างแมมมอธนะ

อย่างน้อยก็ไม่เสียเที่ยว... ^^

แต่ไม่มีรูปนะ มือสั่นมาก เบลอเลยรูปในโบสถ์.....



 


คิดเหรอ ว่าจะเดินกลับ...... ฝันเถอะ เดินมา รวมๆแล้วก็ร่วม 3 กิโล

ถ้าเดินกลับด้วยนี้รวมกันไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเลยนะ....

ว่าแล้ว ไอ้ห้าวอย่างเราก็.... หาโบกวิน ซึ่งน้ำตาจะไหล ไม่มีวินอ่ะ..... อ๊ากกกก..!!!!

จนลากสังขารตัวเองมาได้ครึ่งทางนั่นแหละ เกือบถึงหมู่บ้านมอญ ถึงจะเจอพี่วิน

มันช่างเป็นความรู้สึกที่พิเศษอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกแรกที่ก้นได้กระทบเบาะมอเตอร์ไซค์

ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่ามันจะนุ่มเหมือนนั่งอยู่บนสำลี... ฮ่าๆๆๆ

พี่วินมาส่งถึงสะพานลูกบวบ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินข้ามกลับซะที

และแล้วความคิดบางอย่างก็เข้ามา....

เฮ้ยยยย...ยังต้องเดินกลับรีสอร์ทอีกนี่หว่า.... น้ำตาแทบไหลพราก...

ช้าทำไมล่ะ..... เดินไปดิ เดินๆๆๆๆๆๆ






เกือบ 11 โมง ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้องพักได้.... กระโดดโครม

เอนกาย ซักพักให้หายเหนื่อย ในใจคิดเจ็บใจตัวเอง ทำไมไม่เช่ามอเตอร์ไซค์ว่ะเนี่ย...

แต่อีกใจนึกก็รู้สึกดี เพราะถ้าเช่ามอไซค์ ก็อาจไม่ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง

ที่มีรายละเอียดมากมายของการใช้ชีวิตอยู่ ของผู้คนหมู่บ้านมอญ

หลังจากพักให้หายเหนื่อยก็ต้องรีบอาบน้ำ เพราะถึงเวลาที่ต้องออกจากที่พัก ย้ายที่พักพิงกัน

แต่โปรแกรมเปลี่ยนกะทันหัน เมื่อเพื่อนสาวโทรหาเมื่อคืน ว่าเดี๋ยววันนี้จะขึ้นไปหานะเว้ยยยยย....

แหม... ก็ผมจองที่พักไว้แล้ว มาพักฟรี....ชอบดิ

คอยดู....เดี๋ยวจะอาศัยรถมันพาเที่ยวให้คุ้มค่าห้องเลย..... ^^






คืนที่สอง ผมจองห้องพักไว้ที่ สามประสบ รีสอร์ท

อารมณ์คืออยากนั่งชิลดูสะพานมอญตอนกลางคืน เหอะๆๆๆ

เข้าไปที่ สามประสบตอน เที่ยงกว่าๆ พร้อมๆกับที่เพื่อนกับแฟนและลูกชาย ก็มาถึงพอดี...

โว๊ะ... มาทั้งครอบครัวเลยนะ..... ไม่เป็นไรที่พัก พักได้ 3 คน เตียงเสริมมันออกเอง.....

ยังไงก็จะได้มีรถเที่ยวฟรี.....อิอิ





“เข้าห้องได้บ่ายสองนะคะ”

สำหรับผม ไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะผมมีโปรแกรมในใจแล้ว....เหอะๆๆๆ

มาเที่ยวสังขละบุรีไปไม่ถึงด่านเจดีย์สามองค์ได้ไง ว่าแล้วก็บอกเพื่อนสตาร์ทรถ ไปด่านกันบัดนาว....

ระหว่างทางไปกับเพื่อน ซักซ้อมกันยกใหญ่...

“มิงกะลาบา - สวัสดี”

“เจ๊ะ โจร แม่ - ลาก่อน”

“ซินนงเชเหล้าดง - ราคาเท่าไหร่”

“เนก็องบาตะล้า - สบายดีไหม”

55555 โดนๆๆๆๆ หม่องเอ๊ย โดนแน่ๆ




ทันทีที่รถขับเคลื่อนเข้าสู่เมียร์มาร์ ประเทศเพื่อนบ้านแสนรักของเรา

อย่าแรกที่ต้องทำคือ ขับรถเลนขวานะครับ แล้วระวังมอเตอร์ไซค์

เพราะที่นี่เขาเป็นเจ้าถิ่น ไม่สนว่าเรามายังไง รถใหญ่ต้องหลบ.....

(พี่ที่ด่านบอกไว้)

ผมมุ่งหน้าไปสู่ตลาดชายแดนของพม่า ซึ่งเมืองนี้ของพม่าชื่อเมืองพญาตองซู

สังเกตของหลายๆอย่างก็นำเข้ามาจากประเทศไทย พวกของใช้สาธารณูประโภคต่างๆ

ส่วนที่ใช้จิปาถะก็เป็นของพื้นบ้านของเขา

ส่วนสาวๆก็อย่างที่รู้กัน ทุกคนต้องมีทานาคา แป้งพม่าแปะหน้า ^^

แถมมีเบียร์พม่าให้ลองด้วย ใครคอเบียร์ก็ลองมาชิมดูนะ สำหรับผมชิมแล้วก็... เบียร์ช้างดีๆนี่เอง....

ที่นี่ใช้เงินไทย แถมส่วนใหญ่ก็พูดไทยได้ (ที่ผมเจอนะ).... จบกัน ที่ฝึกซ้อมมา.....



 



เดินจนหมดตลาด รู้สึกได้ทันที.... ไม่เห็นมันจะมีอะไรเลย... ก็ตลาดธรรมดาๆนี่แหละ ที่บ้านก็มี

เลยเปลี่ยนแผน ไปต่อ จุดหมายต่อไปก็คือ เจดีย์ทอง

ซึ่งเป็นเจดีย์ที่หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้มาสร้างไว้

ใครเดินไหวก็เดินบันไดขึ้นไป ใครเดินขึ้นไม่ไหว ก็ขับรถขึ้นไป......แต่

ชันมากกกก ขอบอก ขับรถไม่แข็งไม่แนะนำนะครับ

ข้างบนมีคนขายดอกไม้ธูปเทียนอยู่ ผมเลยเหอะๆๆๆๆๆ ได้ลองคาถาแล้ว...

“มิงกะลาบา” พร้อมยกมือสวัสดี (กระหยิ่มยิ้มย่อง)

แม่ค้าย้อนกลับมา “มะเงยละอาว... มะใช่ มิงกะลาบา” (ยิ้มหวานๆ)

ตายห่า ที่ซ้อมมาผิดเหรอว่ะเนี่ย..... - -! (หน้าเหลือสองนิ้ว)

เขามาบอกว่า เขาเป็นคนมอญ มะใช่ พม่า......

โอย..... นึกว่าผิด เลยได้อีกภาษามาโดยปริยาย เหอะๆๆๆๆๆ

(เลยไม่กล้าทักใครอีกเลย กลัวผิดชนชาติ 5555)

 
 




ออกจากเจดีย์ทอง ก็มุ่งหน้าไปสู่วัดเสาร้อยต้น

(เหมือนไกลเนอะ แต่จริงๆอยู่ติดกันเลยอ่ะ แถมถึงก่อนเจดีย์ทองด้วย)

แวบแรกที่เข้าไป เดินชั้นล่างรู้สึกได้เลยว่า ไม่เคยถูเลยมั๊งเนี่ย ฝุ่นเยอะมาก

อาจเพราะแถวนั้นมีแต่ฝุ่นก็ได้ ถูไม่ถูก็เหมือนกัน...

ซักพักได้ยินเสียงเพื่อนเรียก “เห้ย เขาขึ้นข้างบนกัน” อ้าว...ถึงว่า ไม่มีอะไรเลย

พอขึ้นมาด้านบน ก็ไม่ต่างจากข้างล่างมากนัก เสาเยอะ และมีหลวงพี่อยู่ให้เราทำบุญ

แต่ที่นี่เงียบดีนะ ผมชอบมาก สงบ สบาย ลมเย็น...... ตัวลอยยยยยย หลับไปซะ.... แหม






ตามแผนที่ จุดที่สี่คือ บึงอะไรซักอย่าง แต่ทันทีที่ขับไปถึง อารมณ์คือ.....

มันก็บึงสวนสาธารณะธรรมดาๆนี่แหละ ไม่ได้มีอะไรดึงดูดความสนใจได้เลย

อ้อ มีอย่างนึงสำหรับนักเสี่ยงโชค ข้างๆบึงมีบ่อนกาสิโน ที่รู้เพราะไปถามไกด์เด็กคนนึง

ที่เจอที่วัดเสาร้อยต้น ขณะที่เขาพานักท่องเที่ยวมาเที่ยว ได้คุยกันเลยรู้..... (เสียดายผมไม่ชอบเล่น)

เลยหันหัวกลับ ไปที่แถวตลาดที่ไปเดินตอนแรก เพราะรู้มาว่า...มีดิวตี้ฟรี

และก็หาไม่ยาก ห้องกระจกขายเหล้ามีที่เดียว..... เขาไปดูก็โอเคนะ ถูกดี

เบียร์สิงห์ ลีโอ กระป๋องแพ็ค 24 กระป๋อง แพ็คล่ะ 350 บาท

ขวดเล็กก็ราคาเท่ากัน ลังล่ะ 350 บาท เหล้าวอดก้าก็ถูกใช้ได้......

สรุป ผมได้เบียร์มา 2 ลัง วอดก้าคนล่ะขวด (ก็เขาบังคับให้เอาออกได้แค่นี้...เหอะๆๆ)

และก็ดิ่งกลับมาตุภูมิถิ่นด้ามขวาน

(มาถามฝั่งไทย ราคาแพงกว่ากันแค่ 5 บาท.....กำ นึกว่าได้ของถูกสุดๆ 55555)





ขณะที่ขับรถกลับตัวเมืองสังขละบุรี ก็นึกขึ้นมาได้......

เคยเห็นในแผนที่แวบๆว่ามีน้ำตก และแล้วก็เจอทางเข้าน้ำตกตะเคียนทอง

ขับรถจากปากทางเข้าไปหลายกิโลเหมือนกัน ไม่มีรถสวนมาซักคัน.....

แต่ก็กัดฟันเข้าไป จนไปเจอ เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

จากจุดจอดรถต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร (พี่ทหารบอก)

แต่ผมเดินจริงๆ ผมว่าเกินนะครับคุณพี่

เป็นน้ำตกที่อยู่ในป่า เงียบสงบ เล่นน้ำได้ (เพราะเพื่อนผมมันโดดตูมเลย....ไม่รอถามใคร)

น้ำตกตะเคียนทอง ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก เพราะไม่ค่อยมีคนเข้ามามากนัก

ใครรักธรรมชาติ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

แต่วันที่ไป เด็กๆจากโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม จากสังขละบุรี มาเข้าค่ายพักแรมพอดี......

แน่นอน ผมว่ากับที่นี่ ถ้าเป็นเด็กจากเมืองกรุงต้องตื่นเต้นสุดๆ แต่น้องๆจากสังขละ.... ไม่แน่ ^^







หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศ สายน้ำกลางป่าครึ้ม อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็เกิดขึ้น

17.00 น. นึกขึ้นได้ เฮ้ยยย...ยังไม่ได้ขนของเข้าห้อง....

รีบขับรถบึ่งตะบึงกลับ สามประสบ เพื่อเอาของไปเก็บ.... (บอกเขาไว้จะมาไม่เกินบ่าย 3)

รีสอร์ทนี้ ตอนที่ดูในเว็บ ห้องที่ผมจอง บีคลี่ 6 เห็นว่าเป็นวิวบนสะพานมอญ

ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตผู้คนบนสะพาน....

วาดฝันไว้เยอะ.... 55555

และแล้วเมื่อมาถึงห้อง.....ก็แบบในรูปเลยครับ..... ฟินอ่ะ... ^^



ด้วยกำลังของร่างกาย ที่สูญเสียไปตลอดทั้งวัน

สามชีวิตครึ่งของพวกเรา ก็ถึงเวลาต้องไปหาอะไรกิน เพื่อประทังชีวิตให้อยู่ต่อไป....

ด้วยความที่มาถึงเมืองสังขละ เลยต้องออกไปหาอะไร ที่ในเมืองไม่มีกินกัน...

จำได้ว่าเมื่อวานที่งานวัด มีอาหารแปลกๆอย่างนีง

เลยไม่รอช้า รีบตรงรี่ไปที่วัดศรีสุวรรณ ไปหาอาหารที่ว่า คือ “หมูจุ่มพม่า”

ลักษณะก็เป็นหมูที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เล็กๆ เสียบไม้ วางอยู่ในหม้อใหญ่ๆ

มีประมาณน้ำพะโล้อยู่ให้ชุ่มช่ำ เอาตักมาใส่ถ้วยพร้อมซดได้เลย

มีน้ำจิ้มให้ 2 รส หวานๆเปรี้ยวๆ พร้อมกับพริกขี้หนูสด เผื่อใครชอบเผ็ดอยากเอามาเด็ดกิน..

สนนราคาอยู่ที่ ไม้ล่ะ 1 บาทขาดตัว

หิวซิ ซัดไปซิ ผมเล่นไป 30 ไม้ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ครึ่งกระเพาะผมเลย.... เหอะๆๆๆๆ

ชักไม่ได้การ เหมือนจะบานปลาย เลยต้องรีบเช็คบิล ไม่งั้นหลุดไปถึง 100 แน่ๆ

(ตอนเช็คบิลแม่ค้าไม่นับไม้ด้วยนะ ถามเราว่ากี่ไม้ ให้ความไว้วางใจลูกค้า ฮ่าๆๆๆๆ เราไม่โกงพม่านะๆ)

ออกมาจากหมูพม่า ก็ต้องรีบเลี้ยวหา ก๋วยจั๊บ ผัดไทย กินให้หายหิว.....

เหอะๆ อย่างน้อยก็ได้ลองของพม่าเนอะ

อิ่มหนัมสำราญก็รีบกลับห้อง ชมวิวสะพานไม้ยามค่ำคืน พร้อมจิบเบียร์เบาๆ....

โอ๊ยยยยย.....ฟินสุดๆๆๆ






และก็หมดวันคล้ายวันเกิดที่แสนสุข....แบบ มีแต่รอยยิ้ม

ชีวิตเบาๆ ความสุขเล็กๆ มันก็เติมส่วนที่ขาดหายไปได้เหมือนกัน

แต่การท่องเที่ยวของทริปนี้ ยังไม่จบ.....

ไว้มาต่อคราวหน้า..... นะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น