ความสุขไม่ต้องไปหาไกล
อยู่ที่ใจที่มีความสุข
เมื่อคืน นั่งคุยกัน วางแผนไว้เรียบร้อย
ตอนเช้าจะไปใส่บาตรกัน เดินหมู่บ้าน เข้าวัดไหว้พระ..........บลาๆๆๆๆ
เช้าวันที่ 3 เปลือกตาเริ่มเปิด ก็เจอกับแสงสว่างของวันใหม่ทันที....
ว๊ากกกก..... สายๆๆๆๆ...... จบกันที่วาดฝันไว้เมื่อคืน... กลับกลายเป็นความฝันของวันวาน
เดินหน้าละห้อยออกมาหน้าห้อง ก็เจอกับหลักฐานที่ทำให้ตื่นสาย..... กระป๋องเบียร์เกือบ 20 ป๋อง..
แถมเป็นป๋องยาว แอล 7-8 เปอร์เซ็นต์ (เบียร์ฮอลแลนด์) สมควรแล้วล่ะฉ๊านนนนน......
สุดท้ายเลยต้องนั่งชิลริมระเบียง ส่องกล้องมองวิถีชีวิต (ความหมายคล้ายๆกับแอบดูนั่นแหละ....^^)
ชีวิตบนสะพาน บนแม่น้ำ บนฝั่งมอญ.... เฮ้ยยยย ได้ฟิลอ่ะ....
จับเขย่า จับปลุก จับปล้ำกันอยู่พักนึง..... เจ้าครอบครับหรรษาก็ฟื้นคืนชีพ.....
เมื่อตาแต่ล่ะคนเริ่มลืมเต็มที่ ก็ได้เวลาที่จะไปหาของฟรีกินกัน.... ฮ่าๆๆๆๆ
อาหารเช้าของที่นี่ มีไม่เยอะมากนัก แต่ว่าถึงรสชาติ ผมว่าผ่านนะ
และเมื่อยืนเล็งอยู่พักนึง ก็ได้เวลาคว้าจาน.... แล้วก็ ตัก... ตัก... ตัก... ตัก... ตัก... (แน่ใจนะว่ากิน)
และอีกอย่างที่ถูกใจมากคือ วิวของโซนร้านอาหารที่นี่ สุดๆอ่ะ ชอบมาก บรรยากาศดีสุดๆ
ห้องน้ำชายก็มองออกไปสู่ธรรมชาติเลย..... โอ้วจอส..มันยอดมาก...
(เอ่อ...ห้องน้ำหญิงไปหาดูกันเองนะจ๊ะ ถ้าเข้าไปสำรวจเดี๋ยวจะกลายเป็นโรคจิต...อิอิ)
อิ่มหนำสำราญกับไป กับมื้อเช้า... (ตุนไว้เผื่อเที่ยงหากินไม่ได้.....อิอิ)
และก็ได้เวลาไปต่อ วางแผนกันไปจะไปล่องเรือ เพราะถ้าไม่ไป คุยให้ใครฟังเขาคงว่า
“ไอ้นี่ไปไม่ถึงสังขละ”
ว่าแล้วก็เดินลงไปที่ริมแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำสายสำคัญที่มีสะพานมอญสร้างข้ามผ่าน.....
“พี่เรือลำนึงครับ” ไม่ต้องรอให้คนเรือถาม..... มั่นอ่ะ
นั่งเรือที่นี่ มี 3 ราคานะครับ
300 บาท ไปวัดจมน้ำ วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)
500 บาท ไปวัดจมน้ำ 2 วัด วัดศรีสุวรรณ (เก่า) กับ วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)
และก็วัดบนบกอีกวันนึง วัดสมเด็จ รวมเป็น 3 วัด
1200 บาท ไปวัดทั้ง 3 แล้วก็ไปประตูเมืองอะไรซักแห่งนี่แหละ
ผมเลือก 500 บาท เพราะคิดว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ไม่ได้มากันบ่อยๆ ไปมันทั้ง 3 วัดเลยก็ดี
แล้ววัดแรกที่เขาพาไปก็คือ วัดศรีสุวรรณ(เก่า) ที่จมน้ำ
ท้ายเรือขับเรือผ่าน ผ่าน ผ่าน ผ่าน ผ่าน แล้วก็ผ่านไปเลย.....
อ้าวววว.....แค่นี้เหรอพี่.....
คนขับเรือบอกว่า “ใต้น้ำเป็นเศษซากวัดเก่า ขับเรือไปใกล้ไม่ได้ครับ อันตราย ช่วงนี้น้ำลง”.....
อ๋อ ถึงบางอ้อ
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กับวัดแรก (แต่ถ้ามาช่วงน้ำขึ้น ก็คงไม่น่าจะได้เห็นวัดนี้นะครับ)
วัดที่สอง เป็นวัดสมเด็จ เป็นวัดเก่าที่อยู่บนบก
เรือแล่นเสียบส๊วบขึ้นที่ฝั่ง พวกเราทุลักทุเลปีนลงหน้าเรือสู่พื้นดินเบื้องล่าง....
เพื่อที่จะเดินไปที่วัด ตัววัดอยู่ด้านบน ระหว่างทางจะมีชาวมอญขายดอกไม้ธูปเทียนอยู่กลุ่มนึง
(ด้านบนไม่มีขายนะครับ)
ไม่รอช้า กระจายรายได้สู่ชุมชน ซื้อซิครับ 20 บาทไม่ทำให้จนหรอก.... จัดไปชุดนึง
ด้านบนเป็นโบสถ์เก่าแก่หนึ่งหลัง ด้านในมีพระประธานเก่าอยู่องค์นึง
เราสามารถเข้าไปกราบไหว้ด้านในได้
กรุณาถอดรองเท้าก่อนเข้าไปในโบสถ์เก่านะครับ
แต่พื้นไม่ได้เรียบเป็นกระเบื้องนะครับ พื้นเป็นหิน ฝุ่น ดิน อย่าไปแคร์ครับ.....
และที่นี่เอง ด้วยความสับเพร่า ผมถือกระเป๋าตัง กับกุญแจห้องไว้
เมื่อผมจะถ่ายรูปพระประธานผมเลยวางของไว้ด้านข้าง แล้วก็เอนตัวเผื่อจะถ่ายรูปได้ถนัดๆ
และ... ใช่ครับ.... ผมลืม.....
กระเป๋าตัง บัตรเครดิต บัตรสำคัญต่างๆ เงินสด 5 พัน พร้อมกุญแจห้อง.....ทำบุญไปซะ.....
มารู้ตัวว่า กระเป๋าตังพร้อมกุญแจห้อง อันตรธานหายไป ก็เมื่อนั่งเรือมาถึงวัดสุดท้ายแล้ว
วัดสุดท้าย วัดจมน้ำ วัดวังก์วิเวการาม(เก่า).....
เป็นช่วงเวลาที่ผมเที่ยวไม่สนุกแล้ว (ทำบุญหนักไปมั๊ยเนี่ยกรู......)
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับผม ก็เกิดขึ้น
“พี่ๆ พี่ทำกระเป๋าตังหล่นไว้ที่วัดเมื่อกี้ใช่เปล่า”
ผมหันขวับไปทันที และผู้ชายคนนี้ ผมจำได้เขาเป็นคนที่สะพายกล้องเข้ามา ตอนผมถ่ายรูปที่วัดสมเด็จ
คนไทยดีๆยังมีเยอะแยะมากมายครับ ชีวิตผมโชคดีที่มักเจอคนแบบนี้บ่อยๆ
ขอให้ชีวิตคุณเจอแต่สิ่งดีๆนะครับ.....
มาต่อเรื่องของเรา..... วัดนี้เป็นวัดเก่าของหลวงพ่ออุตตมะ ที่สร้างไว้ก่อนสร้างเขื่อน
เมื่อมีการสร้างเขื่อนมีการกักเก็บน้ำ หลวงพ่อจึงย้ายวัดไปอยู่ด้านบน
ที่วัดนี้ช่วงน้ำลง จะมีเด็กๆชาวมอญมาเป็นไกด์ตัวน้อยให้ น้องๆเขาน่ารักนะครับ ยิ้มตลอดเวลา
รอยยิ้มนี้ พลอยทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ มีรอยยิ้มไปด้วย
และนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ “สังขละบุรี”
หลังจากล่องเรือ ท่องเที่ยวเมืองสังขละ
ดื่มด่ำธรรมชาติ วัฒนธรรม ความศรัทธา และวิถีชีวิตของผู้คน......
ได้เวลาที่ต้องจากกันแล้ว....
การมาที่นี่ ผมได้อะไรหลายๆอย่าง.....
ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้กินสิ่งที่ไม่เคยกิน ได้ไปที่ที่ไม่เคยไป
อย่ากลัวที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ มีเงิน มีเวลา มันยังไม่พอ คุณต้องมีใจให้กับมันด้วย....
ความสุขไม่ได้เกิดจากจุดหมายปลายทาง ที่เราไปถึง....
แต่ความสุขเกิดจากเรื่องราวระหว่างทาง ที่เราได้เดินทางผ่าน.....
ยัง ยัง ยัง ยัง ยังไม่จบ
เรื่องราวยังไม่จบ..... บอกแล้วสังขละบุรีไม่ได้มีแค่นี้...
ออกจากตัวเมืองสังขละ ผมผ่านวัดๆนึงอยู่ข้างทาง (วิ่งผ่านตั้งแต่เมื่อวานไม่ได้จอด)
ผมก็ตะโกนลั่นรถเลย... “จอดรถ.....!!!!!!”
วัดนี้ชื่อวัดสมเด็จ จะเห็นว่าด้านซ้ายก็มีพระ ด้านขวาก็มีพระ
ไม่ใช่เพราะเขาอยากสร้างพระไว้สองข้างนะครับ
วัดนี้สร้างก่อนตัดถนน แล้วกรมทางก็มาขอตัดผ่าน ทางวัดก็อนุญาตให้เป็นกุศล
แต่จากที่ได้คุยกับหลวงพี่ที่วัด ท่านบอกว่า
ตอนแรกที่คุยกันก็ให้ตัดผ่านได้ เป็นถนนในระดับเดียวกับทางวัด
แต่ไม่รู้ยังไง ไปๆมาๆ ทำถนนซะสูงกว่าวัดลิ่วเลย......
ตีรถมุ่งหน้ากลับไปซักพัก ก็จะเจอกับจุดตรวจร่วม อยู่ที่สะพานรันตี ตรงนี้เป็นจุดชมวิวอีกที่นึง
ช่วงนี้น้ำน้อย อาจไม่สวยนัก แต่ด้านล่างก็เป็นพี่พำนักพักอาศัย ของชาวบ้านที่นี่
จะอาศัยกันอยู่บนบ้านที่สร้างบนแพ เพื่อเมื่อถึงหน้าน้ำ เขาก็ยังจะสามารถอยู่กันได้
มองจากสะพานรันตี หรือจุดชมวิว จะเป็นอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นจุดให้มองและระลึกแด่
เฉลยศึกสงคราม ซึ่งเสียชีวิตในค่ายก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ
ซึ่งบางส่วนได้จมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 2527 (มีแผ่นจารึกบอกไว้ที่จุดชมวิวครับ)
ลงมาเรื่อยๆ ก็มาเจอจุดชมวิว ที่ผมปักหมุดไว้ตั้งแต่วันก่อนว่า..... ต้องแวะ ยังไงก็ต้องแวะ
นั่นคือ ป้อมปี่.... จุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งของเส้นทาง สายสังขละบุรี
ที่นี่มีจุดกางเต็นท์ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อน และผมเป็นคนนึง ถ้ามีโอกาสจะมาปักเต็นท์นอนแน่ๆ
ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ กับธรรมชาติ 180 องศา
จะเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของคนรักธรรมชาติ
และจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ แกบอกที่นี่มีพาเที่ยวเดินป่าด้วยนะ 2 วันกับอีก 1 คืน
ใครสนใจติดต่อได้ที่สำนักงานป้อมปี่ได้เลยนะครับ เห็นว่าช่วงนี้กุหลาบกำลังบาน...
ไม่รู้นะต้องไปดูเอง...อิอิ
ล่องลงมาจากป้อมปี่ซักพัก ก็เจอที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม
และเพื่อนผมก็พูดขึ้นมาว่า “เออ จำได้ลางๆ ว่าที่นี่มีน้ำตกนะ”
จะช้าทำไมล่ะ เลี้ยวซิ เลี้ยวซิ เลี้ยวซิว่ะ...... ฮ่ะๆๆๆๆ แล้วมันก็ต้องทำตามคำขอของเรา
น้ำตกที่เจอชื่อว่า น้ำตกกระเต็งเจ็ง....?????? เอาจริงๆนะ ผมเพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ
ไม่เคยรู้มาก่อนมามีน้ำตกนี้อยู่ในเส้นทางนี้ และยิ่งประหลาดใจ (สำหรับผมคนเดียว....อิอิ)
เพราะมันเป็นน้ำตกที่ อเมซิ่งมาก เป็นน้ำตกที่อยู่ท่ามกลางป่าดงดิบ มีชั้นน้ำตกอยู่มากมาย
แต่ป้ายปากทางเข้าน้ำตกบอกมีหลักๆ 9 ชั้น
(แต่หลังจากกลับมาหาข้อมูล บางแหล่งที่มาก็บอก 23 ชั้นบ้าง 36 ชั้นบ้าง)
ใครรักธรรมชาติ ต้องลองมาเยือนซักครั้ง
ด้วยความที่มันยังเป็นป่าดงดิบ ที่ให้พืชพรรณต่างๆอุดมสมบูรณ์มาก
แต่เวลานั้นมันบ่ายแก่ๆแล้ว ผมเลย... เอาว่ะ ตามป้ายบอกมีต้นไม้ยักษ์ ไปดูแค่ต้นไม้ยักษ์ก็พอ
ระหว่างทางที่เดินเข้าไป รอบกายลายล้อมด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ ป่าไผ่ ป่ากล้วยป่า.... โอ๊ยยยยยยย....
หัวใจพองโต คิดอยู่อย่างเดียว..... ต้องมาซ่อมที่นี่ให้ได้.... ซักวัน
(ไปถึงต้นไม้ยักษ์นี่ ยังไม่ถึงน้ำตกชั้นที่ 1 เลยนะพี่น้อง....เหอะๆ)
ออกมาจากน้ำตกกระเต็งเจ็ง ด้วยหัวใจที่พองโต..... และมุ่งหน้ากลับบ้าน
แต่ด้วยเคยรู้มาว่า เส้นทางนี้ยังมีอีกน้ำตกที่อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว ในเส้นทางสายสังขละบุรี
คือ...น้ำตกเกริงกระเวีย และมีเหร๊อที่ผมจะพลาด.... ก็มันทางผ่านนี่หน่า...
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกเมื่อมาถึงน้ำตกเกริงกระเวีย คือ ผิดหวังอ่ะ มันธรรมดามากกกกก
อารมณ์ประมาณไปวังตะไคร้
อาจเป็นเพราะว่า น้ำตกที่ผ่านมา ผมเจอแต่แบบ แอดเวนเจอร์ อยู่ในป่า รายล้อมด้วยธรรมชาติ
แต่น้ำตกนี้เป็นน้ำตกสำหรับพักผ่อน อยู่ติดถนน หรือแวะพักกินข้าว เล่นน้ำได้
(มั๊ง....ตอนไปไม่เห็นใครเล่นอ่ะ)
สำหรับผมมันเลยธรรมดาไป แต่สำหรับมาเป็นครอบครัวก็ดีนะครับ นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้ดีทีเดียว...
และนั่นก็เป็นที่สุดท้ายของผมในทริปนี้ ซึ่งก็เริ่มเย็น พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน
ผมเลยบอกเพื่อนขอไปนอนอยู่หลังกระบะ สูดอากาศ ธรรมชาติ และดูพระอาทิตย์ตก
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ดีที่สุดสำหรับผม
ธรรมชาติคิอสิ่งที่ผมรัก วัฒนธรรมคือสิ่งที่ผมหลงใหล
ความศรัทธาคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ประเทศไทยใครไม่ไปผมไปเอง.......
(ง๊วววงงงง....คิดได้ไงว่ะเนี่ย....555555)
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจะจบ ไม่ว่าจะเต็มใจไม่เต็มใจก็ตาม... ฮ่าๆๆๆๆ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเดินทางนะครับ......